ริดสีดวงไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องที่ควรรักษา
“ริดสีดวง” หรือ “ริดสีดวงทวาร” เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนไทย
แต่กลับเป็นหนึ่งในโรคที่หลายคน “เขินอาย ไม่กล้าไปหาหมอ”
เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หรือกลัวการตรวจร่างกายบริเวณทวารหนักความจริงแล้ว — ริดสีดวงไม่ใช่เรื่องน่าอาย
และยิ่งปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา ก็อาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้
ดังนั้น การเข้าใจโรคนี้อย่างถูกต้อง และเข้ารับการรักษาแต่เนิ่น ๆ
คือวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพของเราเอง🔹 ริดสีดวงคืออะไร?
“ริดสีดวงทวาร” (Hemorrhoids) คือ ภาวะที่หลอดเลือดบริเวณทวารหนักเกิดการโป่งพอง
หรือบวมจากแรงดันภายในช่องทวารที่มากเกินไปโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ประเภทหลัก คือ
ริดสีดวงภายนอก (External Hemorrhoids) – เกิดบริเวณรอบปากทวาร มักเห็นเป็นก้อนบวม
ริดสีดวงภายใน (Internal Hemorrhoids) – อยู่ในทวารหนักด้านใน มักมีอาการเลือดออกเวลาขับถ่าย
ในบางรายอาจเกิดร่วมกัน เรียกว่า “ริดสีดวงแบบผสม” ซึ่งต้องดูแลอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
🔹 ทำไมถึงไม่ควรมองข้ามหรืออายที่จะรักษา
หลายคนเลือก “ทน” เพราะคิดว่าเป็นเพียงก้อนเล็ก ๆ หรือจะหายเอง
แต่ในความจริง ริดสีดวง ไม่สามารถหายขาดได้เอง หากยังมีพฤติกรรมเสี่ยงเหมือนเดิมการปล่อยไว้นานอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
เลือดออกทุกครั้งที่ขับถ่าย
ปวดหรือแสบบริเวณทวารหนัก
ก้อนริดสีดวงโผล่ออกมาและไม่สามารถดันกลับได้
ภาวะติดเชื้อหรืออักเสบ
เสี่ยงภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรัง
นอกจากนี้ “อาการคล้ายริดสีดวง” อาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า เช่น
มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือรอยแผลในทวารหนัก
ดังนั้น การวินิจฉัยโดยแพทย์จึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ควรอายที่จะไปตรวจ🔹 สาเหตุและพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เป็นริดสีดวง
ริดสีดวงเกิดจาก “แรงดันในเส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักเพิ่มขึ้น”
ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น
ท้องผูกเรื้อรัง ต้องเบ่งแรงเวลาขับถ่าย
นั่งหรือนอนนานเกินไป โดยไม่ขยับร่างกาย
นั่งเล่นมือถือในห้องน้ำเป็นเวลานาน
กินอาหารไฟเบอร์น้อย ดื่มน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายยาก
ตั้งครรภ์ (ในผู้หญิง) ซึ่งเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
น้ำหนักเกินหรืออ้วนลงพุง
ยกของหนักเป็นประจำ
พฤติกรรมเหล่านี้ดูเหมือนเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมทุกวัน
จะเพิ่มโอกาสเกิดริดสีดวงได้สูงโดยไม่รู้ตัว🔹 อาการที่ควรสังเกต
แม้ริดสีดวงระยะแรกอาจไม่มีอาการเจ็บ แต่ก็มีสัญญาณเตือนที่ควรใส่ใจ ได้แก่
มี เลือดสดปนมากับอุจจาระ หรือหยดลงหลังขับถ่าย
รู้สึกคันหรือระคายเคืองบริเวณทวารหนัก
มีก้อนเนื้อหรือก้อนนูนบริเวณรอบทวาร
ปวดเวลาเบ่งหรือมีอุจจาระแข็ง
รู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นริดสีดวงจริงหรือโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน🔹 วิธีดูแลและรักษา
1. รักษาด้วยตนเอง (ระยะเริ่มต้น)
สำหรับริดสีดวงระยะต้น (ระยะที่ 1–2) สามารถดูแลได้ด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น
กินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช
ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร
ไม่เบ่งแรงเวลาขับถ่าย และอย่านั่งห้องน้ำนาน
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว โยคะ
แช่น้ำอุ่นวันละ 10–15 นาที เพื่อลดอาการบวม
แพทย์อาจให้ยาทา ยาเหน็บ หรือยากิน เพื่อช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการ
2. รักษาทางการแพทย์ (ระยะปานกลางถึงรุนแรง)
หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ หรือมีก้อนริดสีดวงใหญ่
แพทย์อาจแนะนำการรักษาเพิ่มเติม เช่น
การฉีดยาให้หลอดเลือดฝ่อ (Injection Therapy)
การใช้ยางรัดหลอดเลือด (Rubber Band Ligation)
การจี้หรือผ่าตัดเลเซอร์ (Laser Hemorrhoidectomy)
การผ่าตัดแบบดั้งเดิม (Surgical Removal)
การรักษาเหล่านี้ช่วยลดอาการได้ถาวร และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน
โดยเฉพาะเทคนิคเลเซอร์ซึ่งเจ็บน้อยและฟื้นตัวเร็ว🔹 ความเข้าใจผิดที่ควรเลิกเชื่อเกี่ยวกับริดสีดวง
❌ “ริดสีดวงเป็นแล้วหายเองได้”
ความจริงคืออาจดีขึ้นชั่วคราว แต่จะกลับมาเป็นซ้ำหากไม่แก้พฤติกรรม
❌ “ริดสีดวงต้องผ่าตัดเท่านั้น”
ปัจจุบันมีหลายวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น การฉีดยา หรือการใช้เลเซอร์
❌ “อาย ไม่กล้าไปหาหมอ”
แพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินอาหารและลำไส้ (ศัลยแพทย์ทั่วไป)
มีวิธีตรวจที่ปลอดภัย รวดเร็ว และให้ความเป็นส่วนตัว❌ “คนอ้วนเท่านั้นที่เป็นริดสีดวง”
ไม่จริง คนผอมที่ท้องผูก หรือนั่งนานก็มีความเสี่ยงเช่นกัน
🔹 การป้องกันไม่ให้ริดสีดวงกลับมาเป็นซ้ำ
หลังจากรักษาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การดูแลต่อเนื่อง” เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
กินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงและดื่มน้ำมากพอ
เข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา ไม่กลั้นอุจจาระ
หลีกเลี่ยงการนั่งนาน ๆ ติดต่อกัน
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
ออกกำลังกายเป็นประจำ
เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นริดสีดวงซ้ำได้มากกว่า 80%
🔹 ทำไม “ริดสีดวง” ไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย
โรคริดสีดวงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย
ตั้งแต่วัยทำงาน หญิงตั้งครรภ์ ไปจนถึงผู้สูงอายุการหลีกเลี่ยงการรักษาเพราะ “ความอาย”
เท่ากับเป็นการปล่อยให้โรคดำเนินต่อไป และอาจรุนแรงขึ้นจนต้องรักษาด้วยการผ่าตัดการกล้าไปพบแพทย์ตั้งแต่ระยะแรก คือการดูแลตัวเองอย่างรับผิดชอบ
เพราะสุขภาพไม่ควรถูกบดบังด้วยความเขินอาย🩷 สรุป
“ริดสีดวงไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องที่ควรรักษา”
เพราะหากตรวจพบเร็วและดูแลอย่างถูกวิธี
ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ต้องผ่าตัดการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เช่น
การกินผัก ดื่มน้ำมากขึ้น และไม่เบ่งขณะขับถ่าย
อาจช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคริดสีดวงไปได้ตลอดชีวิตอย่าปล่อยให้ความอายมาขัดขวางการดูแลสุขภาพของตัวเอง
เพราะ “สุขภาพดี เริ่มต้นจากการกล้าไปหาหมอ”📞 ติดต่อเพื่อสอบถามหรือนัดหมาย
Tel. : 065-304-9539
📲 Line Official : @drjamescolo
🌐 Website : www.doctorjamescolo.com
📘 Facebook : หมอเจมส์ ศัลยกรรมลำไส้หาดใหญ่
📷 IG : @doctorjamescolo