เมื่อไรควรไปพบแพทย์? สัญญาณเตือนริดสีดวงที่ไม่ควรมองข้าม
ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนไทย แต่กลับเป็นโรคที่หลายคนมักเขินอาย ไม่กล้าไปพบแพทย์ จนบางครั้งปล่อยให้อาการลุกลามและรักษายากขึ้น ทั้งที่จริงแล้ว หากตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้หายได้เร็ว ลดความทรมาน และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงบทความนี้จะพาคุณมาดูว่า อาการแบบไหนที่ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ว่าควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ไม่ควรปล่อยไว้เด็ดขาด
ทำความรู้จักกับริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวารเกิดจาก เส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักและไส้ตรงที่โป่งพอง ทำให้เกิดเป็นก้อนบวมขึ้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่:
- ริดสีดวงภายใน (Internal hemorrhoids)
เกิดขึ้นภายในทวารหนัก มักไม่เจ็บปวด แต่มีเลือดออกเวลาขับถ่าย อาจทำให้เกิดความรำคาญใจและกังวลเรื่องสุขภาพ- ริดสีดวงภายนอก (External hemorrhoids)
เกิดขึ้นบริเวณขอบทวารหนัก สามารถคลำเจอก้อนบวม มักมีอาการเจ็บ ปวด และอักเสบร่วมด้วยแม้จะเป็นโรคที่พบบ่อย แต่ก็มีบางอาการที่ ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติที่รุนแรงมากกว่าการเป็นริดสีดวงธรรมดา
สัญญาณเตือนที่ควรไปพบแพทย์ทันที
1. มีเลือดออกขณะขับถ่าย
- พบเลือดสดติดกับอุจจาระ, กระดาษชำระ หรือหยดลงในโถส้วมบ่อย ๆ
- หากเป็นเพียงเล็กน้อย อาจยังไม่อันตราย แต่ถ้าเป็นซ้ำๆ หรือปริมาณมาก ควรพบแพทย์โดยเร็ว
- อาการนี้นอกจากจะเกิดจากริดสีดวงแล้ว ยังอาจเป็นสัญญาณของ โรคร้ายแรง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือแผลในลำไส้
2. ก้อนริดสีดวงโตผิดปกติหรือเจ็บมาก
- มีก้อนบวมที่ดันออกมานอกทวารและไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้
- มีอาการเจ็บ ปวด บวมแดงรุนแรง อาจเกิดจากการอักเสบหรือลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosed hemorrhoid)
- หากปล่อยไว้อาจติดเชื้อและทำให้เจ็บทรมานมากขึ้น
3. อุจจาระเปลี่ยนลักษณะหรือมีมูกปน
- อุจจาระเปลี่ยนรูปไปจากปกติ เช่น เล็กลงเป็นเส้น บาง หรือดำคล้ำผิดปกติ
- มีมูกเลือดปนมากับอุจจาระอย่างต่อเนื่อง
- สัญญาณเหล่านี้อาจบ่งบอกถึง โรคอื่น ๆ เช่น โปลิปในลำไส้ หรือมะเร็งลำไส้ ซึ่งจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
4. มีอาการซีด เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- การเสียเลือดจากริดสีดวงเรื้อรังอาจทำให้เกิด ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
- ส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยง่าย ใจสั่น เวียนศีรษะ อ่อนแรง
- หากไม่รีบรักษาอาจกระทบต่อการทำงานและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
5. ใช้ยารักษาเองแล้วไม่ดีขึ้น
- หากใช้ยาเหน็บ ยาทา หรือยากินมาแล้วระยะหนึ่ง แต่ยังคงมีอาการเลือดออก ปวด หรือก้อนบวมไม่ยุบ
- อาจแสดงว่าไม่ได้เป็นเพียงริดสีดวงทั่วไป แต่มีโรคอื่นร่วมด้วย
- ควรให้แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
ประโยชน์ของการไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ
- วินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง
แพทย์จะช่วยแยกว่าเป็นริดสีดวงจริง ๆ หรือเป็นโรคอื่น เช่น แผลรอบทวาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง- รักษาได้ตรงจุด
มีวิธีรักษาหลากหลาย ตั้งแต่การใช้ยา การฉีดยา การรัดยาง การใช้เลเซอร์ ไปจนถึงการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค- ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน
เช่น ภาวะเสียเลือดเรื้อรัง การติดเชื้อ หรือการเจ็บปวดเรื้อรังที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันการดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อลดความรุนแรง
แม้ริดสีดวงบางระยะสามารถดูแลตนเองได้ แต่การปรับพฤติกรรมก็มีส่วนสำคัญในการป้องกันและบรรเทาอาการ ได้แก่:
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ วันละ 6–8 แก้ว เพื่อป้องกันท้องผูก
- หลีกเลี่ยงการเบ่งแรงเวลาขับถ่าย
- ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย
- หากมีอาการปวดหรือบวม สามารถนั่งแช่น้ำอุ่นวันละ 10–15 นาที เพื่อลดการอักเสบได้
สรุป
ริดสีดวงทวารไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่หากเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือน อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ ที่อันตรายกว่า ดังนั้น หากคุณมีอาการเลือดออกทางทวาร ก้อนบวมโตผิดปกติ อุจจาระเปลี่ยนลักษณะ หรืออาการไม่ดีขึ้นแม้จะพยายามรักษาเองแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง👉 การใส่ใจสุขภาพและไม่อายที่จะพบแพทย์ คือก้าวแรกที่จะทำให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เร็วขึ้น
📞 ติดต่อเพื่อสอบถามหรือนัดหมาย
Tel. : 065-304-9539
📲 Line Official : @drjamescolo
🌐 Website : www.doctorjamescolo.com
📘 Facebook : หมอเจมส์ ศัลยกรรมลำไส้หาดใหญ่
📷 IG : @doctorjamescolo
